FAQ

คำถามที่พบบ่อย

Thread Count ก็คือจำนวนเส้นด้าย ซึ่งหมายถึง จำนวนเส้นด้ายที่ทอต่อพื้นที่ 1 ตารางนิ้ว จำนวนเส้นด้ายบ่งบอกถึงคุณภาพของผ้าที่แตกต่างกันออกไป ยิ่งจำนวนเส้นด้ายต่อพื้นที่ใน 1 ตารางนิ้วมากเท่าไหร่ คุณภาพของผ้าชนิดนั้นก็จะดีมากตามไปด้วย โดยจะทำให้เนื้อผ้านั้นมีความหนา ให้สัมผัสที่นุ่มนวล โดยผ้าที่ใช้เส้นด้ายมากก็จะมีความหนาแน่นและให้สัมผัสที่ดีมากเช่นกัน 

ตารางนิ้ว = ตารางเซนติเมตร
1 in² = 6.45 cm²

จำนวนเส้นด้าย 180 เส้นต่อตารางนิ้ว = 285 เส้น ต่อ 10 ตร.ซม.
จำนวนเส้นด้าย 220 เส้นต่อตารางนิ้ว = 335 เส้น ต่อ 10 ตร.ซม.
จำนวนเส้นด้าย 250 เส้นต่อตารางนิ้ว = 385 เส้น ต่อ 10 ตร.ซม.
จำนวนเส้นด้าย 300 เส้นต่อตารางนิ้ว = 465 เส้น ต่อ 10 ตร.ซม.

เส้นใยของผ้าจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ

1.เส้นใยผ้าที่ทำจากธรรมชาติ100%  และแบ่งได้เป็นประเภทดังต่อไปนี้
 

1.1.เส้นใยฝ้าย ได้มาจากการนำ เส้นใยของปุยฝ้ายนำมาปั่นจนเกิดเป็นเส้นด้าย  แล้วจึงนำมาทอ หรือถัก ได้เป็นผืนผ้า คุณสมบัติของผ้าฝ้าย หรือ ผ้า Cotton นั้นจะ ยับง่าย รีดยาก  หด  แต่บางเบา เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย โดยวิธีการดูแลรักษาผ้าชนิดนี้นั้นก็สามารถซักได้ด้วยเครื่อง หรือมือ   รีดได้ในอุณหภูมิที่สูงได้ ไม่ไหม้หรือเกิดอาการหดตัว   

1.2.เส้นใยไหม ใยไหมมาจากโปรตีนของรังไหม  แล้วนำมาปั่นจนได้เป็นเส้นด้าย  และนำมาทอ หรือถัก  ได้เป็นผืนผ้า คุณสมบัติของผ้าไหมนั้น  มีความนุ่มมือ เงางาม มีลักษณะไม่ยับง่าย สามารถ คงสภาพของผ้าได้ดีทีเดียว   ดูดความชื้นได้ดี และ สามารถปรับตัวได้ในอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง  ลักษณะของผ้าสามารถติดไฟได้  เวลาไหม้ผ้าจะหดและไหม้เป็นขี้เถ้า  การดูแลรักษานั้น ต้องซักด้วยสบู่ที่มีฤทธิ์อ่อนเท่านั้น  เพราะผงซักฟอกที่มีกรดแรงจะทำลายเนื้อผ้า  

1.3.เส้นใยลินิน ผลิตจากเส้นใยของต้น flax แล้วนำมาปั่น จนได้เป็นเส้นด้าย จากนั้นจึงมาทอ หรือ การถัก ได้เป็นผ้า ลินิน นั้นเส้นใยธรรมชาติที่มีความคงทน และความแข็งแรงที่สุด   โดยที่คุณสมบัติของผ้าลินิน  นั้นจะ ยับง่าย สามารถซักล้าง และ รีดได้ที่อุณหภูมิสูงลักษณะของจะมี ความมันเงาสวยงาม    ผิวเรียบแข็ง   และดูดซึมน้ำได้ติดไฟได้  เวลาไหม้จะเหมือนกระดาษ เวลาพับผ้าลินินต้องใช้การม้วนเท่านั้น เพราะถ้าพับเส้นด้ายอาจหัก เสียทรงได้

1.4.เส้นใยขนสัตว์ ผ้า ขนสัตว์ คือการนำขนสัตว์นำมาปั่นจนเกิด เป็นเส้นด้าย แล้วจึงมาทอ หรือถักเป็นผืนผ้าขนสัตว์ที่นิยมมาใช้ทำเป็นผ้าที่สุด คือขนแกะ คุณสมบัติของขนสัตว์ ขนสัตว์นั้นดูดความร้อน และถ่ายเทความชื้นได้ดี หดตัวมากเวลาเปียก จึงควรซักแห้งเท่านั้น หลังจากซักแห้งควรเก็บใส่ถุงพลาสติก เพื่อป้องกันมอด 

 

2. ผ้าเส้นใยสังเคราะห์จากสารเคมี

2.1.ผ้าไนลอน (Nylon) ไนลอน ได้มาจากกระบวนการรวมตัวของปิโตรเคมี   จำพวก  เบนซิน ฟีนอล ไฮโดรเจน แอมโมเนีย และมาผ่านกรรมวิธีทางเคมี  และผลิตเป็นเส้ยด้ายด้วยการถักหรือทอ คุณลักษณะของผ้าไนลอนนั้น    มีความทนทาน มาก  รูปร่างของผ้าทรงตัวไก้ดี  สามารถซักผงซักฟอกได้ ทนต่อเชื้อราและแมลง ทนต่อการขัดสี  ราคาไม่สูง 

2.2.ผ้าสแปนเด็กซ์ เป็นผ้าที่มีความยืดหยุ่นสูง เป็นผ้าเส้นใยสังเคาระห์นิยมนำมาผลิตเสื้อผ้าที่ต้องการความยืดหยุ่น เช่น ชุดชั้นใน มาทดแทนยางธรรมชาติที่อายุการใช้งานใช้ไม่ได้นานนัก 

2.3.ผ้าโพลีเอสเตอร์ (Polyester) ได้ มาจากกระบวนการรวมตัว จำพวก ปิโตรเคมี  จำพวกเอทานอล ผ่านกรรมวิธีทางเคมี  ได้เป็นเส้นด้าย  แล้วผ่านกระบวนการถักหรือทอ  แล้วได้เป็นผืนผ้า   เป็นเส้นใยที่ผลิตขขึ้นมาเพื่อให้มีคุณสมบัติคล้ายฝ้าย   ลักษณะ เป็นเส้นใยยาวนุ่ม เงามัน ดูดความชื้นได้น้อย   ผ้ามีความเบาบาง  ยับยาก จับจีบได้  แต่เมื่อใช้ระยะนานผ้าจะเกิดขุยได้ 

 

3. เส้นใยสังเคราะห์จากวัสดุธรรมชาติ  ผ้า เรยอน ได้มาจากการนำเปลือกไม้ในธรรมชาติ   ผ่านกรรมวิธี ทางเคมี ได้เป็นเส้นด้าย  และผ่านกรรมวิธี ด้วยการถักหรือการทอ ผลิตขึ้นมาเพื่อให้มีคุณสมบัติเหมือนกับฝ้าย   คุณสมบัติ มีความนุ่ม มันเงา สามารถระบายความร้อน และดูดความชื้นได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถเป็นผ้าที่ดีกว่าฝ้ายได้ ราคาค่อนข้างถูกนิยมนำมาทดแทนผ้าฝ้าย

ผ้าใยสังเคราะห์ผสมกับผ้าฝ้าย หรือที่เรียกกันว่า ผ้าฝ้ายผสมโพลีเป็นผ้าที่นิยมนำมาทำเป็นผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าบุรองที่นอนกันเปื้อน ผ้าบุไส้ผ้านวม และอื่นๆอีกมากมาย  โดยเนื้อผ้าฝ้ายผสมโพลี นั้นมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป ตามสัดส่วนในการผสมของผ้าฝ้ายและใยสังเคราะห์โพลีที่ต่างกัน

1.ผ้า CVC  เป็นผ้าที่มีส่วนผสมของเส้นใยผ้าย (Cotton) และเส้นใยสังเคราะห์ (Polyester) ในอัตราส่วนของใยฝ้ายที่มากกว่า ตัวอย่างเช่น ใช้ Cotton 80% ส่วน Poly 20% หรือว่าสัดส่วน cotton 60% Polyester 40% ดังนั้นคุณสมบัติของผ้าชนิดนี้ก็จะมีความนุ่มนวลลดลงตามลำดับเนื้อผ้าครับหากใช้อัตราส่วนผสมของเนื้อผ้าฝ้ายเยอะ ผ้าจะก็มีความนุ่ม แต่ผ้าชนิดนี้ก็ยังคงความเรียบ ไม่ยับ และรีดได้ง่ายขึ้น 

2.ผ้า TC เป็นผ้าที่ใช้ส่วนผสมของใยฝ้าย Cotton และเส้นใยสังเคราะห์ Polyester ในอัตราส่วนของใยสังเคราะห์ที่มากกว่าใยฝ้าย คุณลักษณะของผ้าชนิดนี้ก็จะให้ความนุ่มนวลที่น้อยลงกว่าผ้า CVC  แต่ไม่ยับง่าย ระบายอากาศได้ไม่ดีมากนัก

ความแตกต่างของฝ้าย CVC และ TC 
1. ผ้า CVC ก็ใช้สัดส่วนของผ้าฝ้ายแท้มากกว่าผ้าTC 
2. เนื้อผ้า CVC จะให้ความนุ่มนวลมากกว่าผ้า TC
3. ผ้า TC ใช้อัตราส่วนของใยสังเคราะห์ (Polyester) มากกว่า ทำให้ไม่ยับง่าย
4 ผ้า CVC ระบายอากาศและความร้อนได้ดีกว่าผ้า TC
5. ราคาผ้า TC ถูกกว่าผ้า CVC

1 . น้ำมะนาว วิธีซักผ้าขาว ให้กลับมาสะอาดเหมือนใหม่อีกครั้งนั้น เราควรจะเริ่มต้นใส่ใจตั้งแต่ กระบวนการก่อนซักผ้าเลยค่ะ เพียงแค่ต้มเสื้อสีขาวกับน้ำมะนาวผสมกับน้ำเปล่า รอจนเดือด แล้วทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง ก่อนจะนำเสื้อผ้านั้น ไปซักตามปกติ หรือถ้ายังขาวไม่สะใจสามารถบีบมะนาวลงไปพร้อมกับ การซักปกติได้เลยค่ะ

2. น้ำส้มสาย วิธีซักผ้าด้วยน้ำส้มสายชูนี้ เหมาะกับใครที่ไม่อยากเสียเวลานานๆไปกับการแช่ผ้าทิ้งไว้ หรือ ไม่สะดวกที่จะต้มผ้าก่อนนำไปซักตามปกติ น้ำส้มสายชู ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง ที่จะทำให้เสื้อผ้าสีหม่น ๆ ของเรา กลับมาขาวสะอาดสดใสได้ค่ะ เพียงแค่เติมน้ำส้มสายชูลงไป พร้อมกับผงซักฟอกในการซักผ้าปกติ รับว่าความขาวสะอาด จะกลับมาแก่เสื้อผ้าสีขาวของเรา แถมด้วยความนุ่มของผ้า ที่มีมาให้เป็นของแถมด้วยค่ะ

3 . เบกกิ้งโซดา   หนึ่งไอเท็มหลักที่เป็นทางลัดของการขจัดคราบทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นภายในบ้านนั้น ไม่ว่าจะคราบเลอะเทะ ตรงบริเวณไหน เบกกิ้งโซดาก็จัดการได้อย่างยอดเยี่ม และแน่นอนว่า ปัญหาเสื้อหมอง หรือปัญหาการซักผ้าขาว แล้วไม่ขาวเสียที เจ้าเบกกิ้งโซดาก็สามารถแก้ไขให้เราได้อย่างดีเยี่ยมเลยล่ะค่ะ เพียงแค่ผสม น้ำเปล่า กับ เบกกิ้งโซดา ในอัตราส่วน น้ำ 4 ลิตร ต่อ เบกกิ้งโซดา 1 ถ้วย จากนั้นก็นำน้ำที่เราผสมนี้แหละค่ะ ซักผ้าขาวเลย รับรองว่าจากผ้าหมอง ๆ นั้นจะกลับมาขาวสะอาดเหมือนเพิ่งซื้อมาใหม่เลยจ้า

4 . ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์   ส่วนวิธีซักผ้าขาว วิธีนี้ก็ไม่ยากค่ะ แต่อาจจะต้องเดินออกไปร้านขายยาสักหน่อย หรือ ถ้าบ้านไหนมีน้ำยาล้างแผลชนิดนี้ติดตู้ยาไว้อยู่แล้วล่ะก็ยิ่งง่ายสุด ๆ ไปเลยค่ะ กับวิธีซักผ้าขาวให้กลับมาสะอาดเหมือนใหม่ ด้วยการใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือ น้ำยาล้างแผล ผสมกับน้ำเปล่า ในอัตราส่วน ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 2 ถ้วยตวง ต่อ น้ำเปล่า 4 ถ้วยตวง บวกกับ เบกกิ้งโซดา 2 ถ้วยตวง ผสมให้เข้ากัน แล้วค่อยนำผ้าขาวมาแช่ทิ้งไว้ ประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นค่อยนำไปซักด้วยผงซักฟอกตามปกติ

5 . สารฟอกขาว   อีกหนึ่งวิธีซักผ้าขาว ที่ต้องพึ่งพาสารเคมีกัยเสียหน่อย ก็คือสารฟอกขาวชนิดคลอรีนบลีช (Chlorine bleach)  สารฟอกขาวชนิดนี้มีคุณสมบัติในการกัดกร่อนคราบหนักได้อย่างดีเยี่ยม ร่วมถึงคุณสมบัติในการ ฆ่าแบคทีเรียได้ดีที่หนึ่งเลยค่ะ แต่ระหว่างการใช้งานสารฟอกขาว ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากอย่างเคร่งครัดนะคะ  วิธีการซักผ้าขาว โดยใช้สารฟอกขาวก็ง่ายๆค่ะ เพียงผสมสารฟอกขาว เข้ากับน้ำเปล่า ในอัตราส่วน สารฟอกขาว 1.5 ถ้วย ต่อน้ำเปล่า 1 แกลลอน แล้วนำผ้าขาวลงไปแช่ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ไม่ควรแช่ไว้นานเกินเวลาที่กำหนดนะคะ เพราะเนื้อผ้าอาจจะถูกสารฟอกขาวทำลายได้ จากนั้น นำผ้าขาวที่แช่ไว้ ไปล้างออกด้วยน้ำสะอาด และทำการซักได้ตามปกติเลยค่ะ สูตรนี้ไม่แนะนำให้ใช้กับผ้าสีเด็ดขาดนะคะ

6 .  สบู่ซักผ้า    หรือ ที่เรียกกันอีกอย่างว่าสบู่กรด นี้ก็เป็นตัวช่วยชั้นดีที่ทำให้ผ้าที่เคยขาวของเรา ให้กลับมาสู่สีขาวในเฉดที่ถูกต้องได้อีกครั้งค่ะ วิธีการซักผ้าขาวด้วยสบู่กรดนี้ก็ง่ายมาก เพียงแค่ละลายสบู่กรด ลงกับน้ำเปล่า แล้วนำผ้าขาวแช่ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง ในระหว่างนี้ ถ้าหากเสื้อผ้าขาวของเรามีคราบสกปรกตรงส่วนต่างๆ เช่นบริเวณคอเสื้อ แขน หรือบริเวณใต้วงแขนก็ตาม  เราสามารถใช้สบู่กรด ขยี้เอาคราบสกปรกเหล่านั้น ออกไปได้จ้า เมื่อแช่ผ้าขาวไว้ครบกำหนดแล้ว นำผ้าขาวไปซักได้ตามปกติเลยค่ะ

7 . ยาแอสไพริน    เป็นอีกหนึ่งตัว ช่วยสำคัญ ที่ทำให้ผ้าสีหมอง กลับมาขาวได้อีกครั้ง เพียงแค่ละลายยาแอสไพรินสีขาว ประมาณ 5 เม็ด ลงในน้ำเปล่า แล้วนำเสื้อผ้าสีขาวลงไปแช่ ทิ้งไว้ซัก 15 นาที ก่อนนำไปซักตามปกติ หรือ จะใส่ยาแอสไพรินลงไปในขั้นตอนการซักปกติ ก็ได้เช่นกันค่ะ

8 . ตากแดด   ถ้าอยากมีเสื้อผ้าขาวกระจ่างใส เหมือนใหม่ ไปนาน ๆ ล่ะก็ขอให้ลืมเครื่องอบผ้าไปสักครู่หนึ่งนะคะ เพราะเสื้อผ้าสีขาวนั้นถ้าถูกทำให้แห้งด้วยการนำไปอบร้อน ๆ นั้น จะทำให้ผ้าสีขาว ไม่ขาวกระจ่างใส แบบที่ตั้งใจไว้ วิธีซักผ้าขาวที่เราตั้งใจที่ผ่านมา ก็อาจจะไม่สมใจที่หวัง สิ่งที่แนะนำเลยคือ ควรนำเสื้อผ้าสีขาวมาตากแดดให้แห้ง แทนการใช้เครื่องอบผ้าค่ะ เพราะแสงจากดวงอาทิตย์นั้น จะทำให้ผ้าขาว ยิ่งเปล่งประการความขาวมากขึ้น แถมยังไม่มีกลิ่นตกค้างของน้ำยาซักผ้าอีกด้วยนะคะ

 

ขอบคุณ Cr. www.baanlaesuan.com

X